ฟังเสียงในโลกเสมือนจริงด้วย Digital Ethnography:
วิธีวิทยาแบบใหม่สำหรับการศึกษาความต้องการเชิงนโยบายในโลกออนไลน์
Pakorn Phalapong
ในยุคศตวรรษที่ 21 ที่พื้นที่เสมือนจริง (virtual space) กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนทุกหย่อมหญ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 ที่ส่งผลให้การมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมแบบ Face-to-face นั้นเป็นเรื่องที่ไม่สะดวก จึงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าผู้คนหันมาใช้ชีวิตอยู่ในพื้นที่ออนไลน์กันมากยิ่งขึ้น กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางวิถีชีวิตนี้เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ส่งผลให้นักวิจัยหรือแม้กระทั่งนักนโยบายจำเป็นอย่างที่จะต้องทำความเข้าใจต่อพลวัตด้านวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปเพื่อให้ยังคงสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการวิจัยได้ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นในโลกยุค Post-COVID ให้ได้
เข้าใจ 3 ขั้นตอนของวิธีวิทยาชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์อย่างง่าย
ชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์นั้นเป็นการตีความใหม่ในการพิจารณาเชิงพื้นที่รวมไปถึงปัจจัยที่ก่อสร้างพื้นที่ในพื้นที่เสมือนจริง โดยใช้วิธีการวิจัยโดยใช้การสังเกตการณ์เป็นหลัก
1. ขั้นเตรียมการ (Preparation) โดยเริ่มระบุพื้นที่ออนไลน์ที่ต้องการศึกษา พิจารณาวิธีการที่เหมาะสมในการเข้าสู่พื้นที่ศึกษา หรือแม้กระทั่งทดลองลงพื้นที่ศึกษาเพื่อศึกษาบริบท พลวัต และอัตลักษณ์ของกลุ่มศึกษาก่อน เพื่อให้เข้าใจกลุ่มศึกษาและพื้นที่นั้นอย่างเชี่ยวชาญ
2. ลงสู่สนาม มีส่วนร่วม และออกจากสนาม (Field entry, engagement, and exit) โดยปกติผู้วิจัยมักเข้าสู่พื้นที่การศึกษาโดยเริ่มจากการสังเกตการณ์ หลังจากนั้นจึงอาจจะเข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาในพื้นที่ทั้งแบบสนทนากลุ่มและส่วนตัว หรืออาจจะเลือกแฝงตัว (covert approach) เพื่อให้ปลอดจากอิทธิพลและอคติของนักวิจัยก็ได้
3. สร้างและเปิดประเด็นถกเถียง (Production and dissemination) กระบวนการเรียบเรียงข้อมูลผ่านการวิเคราะห์และเขียนสรุป รวมไปถึงเปิดพื้นที่สำหรับการถกเถียงผ่านการนำเสนอผลงานอย่างไม่เป็นทางการให้แก่ผู้เชี่ยวชาญในสาขาเดียวกัน เพื่อตรวจสอบถึงความเข้าใจที่ตรงกันของความหมายเชิงวัฒนธรรม (cultural meaning) ที่ได้รับจากการศึกษา โดยไม่จำเป็นต้องระบุถึงตัวตนของปัจเจกในกลุ่มศึกษา ก่อนที่จะเผยแพร่ข้อมูลอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไปเพื่อประโยชน์ของกลุ่มศึกษา
อย่างไรก็ตามในหลายกรณีศึกษานอกเหนือจากการเก็บข้อมูลโดยการสังเกตการณ์นักชาติพันธุ์วรรณาหลายคนยังเลือกที่จะเก็บข้อมูลผ่านการสัมภาษณ์ออนไลน์แบบไม่ระบุตัวตน (anonymous) หรือแม้กระทั่งตามติดชีวิตของกลุ่มศึกษาเพิ่มเติม เพื่อซักถามประเด็นที่ยังไม่ได้รับความกระจ่างจากการสังเกตการณ์ ด้วยเหตุนี้ ในการวิจัยที่นำชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์มาใช้ กลุ่มศึกษาจึงมักได้กลายมาเป็นนักวิจัยร่วมในการร่วมเล่าร้อยเรื่องราวของการวิจัยด้วยเช่นเดียวกัน (Tagg, Lyons, Hu, & Rock, 2017; Staker, Branada, & Schulman, n.d.)
ชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์สรุปแล้ว “ดี” หรือ “แย่”? จุดเด่นและความท้าทายด้านจริยธรรมการวิจัย
การวิจัยด้วยวิธีวิทยาชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์นั้นสามารถกำจัดข้อจำกัดในการเข้าถึงกลุ่มศึกษาที่ถูกตีตราทางสังคม (stigmatized community) และกลุ่มชายขอบได้เป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม ประเด็นทางด้านจริยธรรมและกฎหมายในการคุ้มครองกลุ่มศึกษาถือเป็นที่ถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในหมู่นักชาติพันธุ์วรรณา เนื่องจากการศึกษาโดยไม่รบกวนสภาพแวดล้อมนั้นมักเป็นการวิจัยโดยไม่มีการขอความยินยอม ก่อให้เกิดคำถามถึงการเคารพความเป็นส่วนตัวของผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูลในพื้นที่ออนไลน์
กรณีศึกษา: InWithForward กับการเสนอนโยบายการดูแลเยาวชนในช่วงเปลี่ยนผ่านโดย Digital Ethnography
องค์กรด้านการช่วยเหลือทางสังคม InWithForward ได้ร่วมมือกับสำนักงานผู้แทนเด็กและเยาวชน ประจำรัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ในการนำวิธีวิทยาชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์มาใช้เพื่อออกนโยบายเพื่อกำกับดูแลเยาวชนที่ครอบครัวแตกแยก ไม่ว่าจะมาจากการที่พ่อแม่หย่าร้างหรือแม้กระทั่งการสละสิทธิ์ในการดูแลบุตร โดยทางองค์กรได้นำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารและเข้าถึงเยาวชนเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น Zoom, Facebook และ Instagram เพื่อรับฟังและเรียนรู้เรื่องราวและประสบการณ์ของพวกเขา โดยผลกระทบที่เห็นได้ชัดคือนอกจากจะเป็นการสร้างเครือข่ายให้แก่เยาวชนเหล่านี้แล้ว ยังเป็นการสร้างฐานข้อมูลใหม่ให้แก่นักนโยบาย อันสามารถเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองของนักนโยบายที่มีต่อปัญหาได้เป็นอย่างดี เพื่อกำหนดนโยบายที่สามารถตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างแท้จริง นี่ถือเป็นเครื่องยืนยันที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งว่าประสบการณ์ตรง (lived experience) ของปัจเจกบุคคลสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการกำหนดนโยบายสาธารณะได้ อีกทั้งการเก็บรวบรวมประสบการณ์ตรงนั้นสามารถตอกย้ำถึงเสียงของเยาวชนในฐานะตัวแปรหลักของกระบวนการกำหนดนโยบายสาธารณะได้เช่นเดียวกัน
ถึงแม้ที่ผ่านมาวิธีวิทยาชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์มักจะถูกนำมาใช้เพื่อศึกษาประเด็นทางด้านมานุษยวิทยาเป็นหลัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่านี่ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถนำมาสร้างความเข้าใจถึงกลุ่มชายขอบหรือกลุ่มที่ถูกตีตราทางสังคมที่เสียงของพวกเขามักไม่ถูกเพิกเฉยในกระบวนการกำหนดนโยบาย เพื่อเข้าใจถึงพฤติกรรมของกลุ่มเหล่านี้ อาทิ การศึกษากลุ่มผู้ใช้สารเสพติด ผ่านช่องทางการพูดคุยของพวกเขาในโลกออนไลน์ เพื่อกำหนดนโยบายในการยับยั้งการซื้อ-ขาย และเพื่อบำบัดพวกเขาได้อย่างเหมาะสม หรือการศึกษากลุ่มแรงงานทางเพศ ผ่านช่องทางการพูดคุยการซื้อ-ขายบริการในโลกออนไลน์อย่าง Twitter เพื่อกำหนดนโยบายที่สามารถดูแลแรงงานเหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม และเป็นการสร้างตาข่ายความปลอดภัยทางสังคม (social safety-net) ให้แก่แรงงานเหล่านี้ภายใต้กรอบกฎหมายเช่นเดียวกับแรงงานประเภทอื่นในสังคม หรืออาจนำไปประยุกต์ใช้ในการฟังเสียงความต้องการทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของคนรุ่นใหม่ในโลกออนไลน์ เพื่อกำหนดนโยบายในประเด็นต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับความคิดเห็นของคนรุ่นใหม่ก็ยังได้ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการกำหนดวาระทางด้านนโยบาย (agenda setting) ที่ขาติพันธุ์วรรณาออนไลน์สามารถเติมเต็มจนนำไปสู่นโยบายสาธารณะที่ตอบโจทย์คนทุกกลุ่มเลยก็ว่าได้
โดยการนำเสนอนโยบายเหล่านี้นั้นจะเกิดขึ้นโดยมีลักษณะแบบปัจเจกเป็นศูนย์กลาง (individual-centric) มากกว่าแบบรัฐเป็นศูนย์กลาง (state-centric) เฉกเช่นอย่างเดิมที่รัฐไทยนิยมทำมาเป็นเวลานาน จนหลายครั้งมักละเลยถึงการพยายามทำความเข้าใจกลุ่มศึกษาในฐานะปัจเจกที่มีพลวัต พฤติกรรม และอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ดังนั้นนโยบายไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจหรือสังคมที่ออกมาจากการศึกษาผ่านวิธีวิทยาชาติพันธุ์วรรณาออนไลน์นั้นจะเป็นเหมือนดั่งการรอมชอมระหว่างรัฐที่ต้องการบรรเทาปัญหาทางสังคม ในขณะเดียวกันก็เป็นการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามพฤติกรรมและอัตลักษณ์ของกลุ่มดังกล่าวข้างต้นไปด้วย
นอกจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจประยุกต์ใช้ฐานข้อมูล big data ที่มีอยู่แล้วในการเข้าถึงความต้องการของประชาชนในโลกออนไลน์
เอกสารอ้างอิง
Barratt, M. J., & Maddox, A. (2016). Active engagement with stigmatised communities through digital ethnography. Qualitative Research, 16(6), 1-19.
Cadchumsang, J. (2021). Digital Ethnography: Ethical Challenges and Guidelines. Journal of Anthropology, Sirindhorn Anthropology Centre, 4(2), 109-142. [in Thai]
Dedman, A. K., & Lai, A. (2021). Digitally Dismantling Asian Authoritarianism: Activist Reflections from the #MilkTeaAlliance. Contention, 9(1), 1-36.
Góralska, M. (2020). Anthropology from Home Advice on Digital Ethnography for the Pandemic Times. Anthropology in Action, 27(1), 46-52.
Kaur-Grill, S., & Dutta, M. J. (2017). Digital Ethnography. In J. Matthe, The International Encyclopedia of Communication Research Methods (pp. 1-10). Hoboken, NJ: Wiley-Blackwell.
Murthy, D. (2008). Digital Ethnography: An Examination of the Use of New Technologies for Social Research. Sociology, 42(5), 837-855.
Staker, I., Branada, V., & Schulman, S. (n.d.). Evidence-based policy: Digital Ethnography. Retrieved January 31, 2023, from InWithForward: https://www.inwithforward.com/examples/digital-ethnography/
Tagg, C., Lyons, A., Hu, R., & Rock, F. (2017). The ethics of digital ethnography in a team project. Applied Linguistics Review, 8(2-3), 271-292.
Thompson, A., Stringfellow, L., Maclean, M., & Nazzal, A. (2021). Ethical considerations and challenges for using digital ethnography to research vulnerable populations. Journal of Business Research, 124(2), 1-8.
Tirapalika, B. (2020). Netnography : Research Methodology in virtual space. Journal of Social Communication Innovation, 8(1), 76-88. [in Thai]